วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

พระพิฆเนศ







พระพิฆเนศ


กำเนิดพระพิฆเนศ

ตำนานที่ 1. พิฆเนศวรปราบอสูรและรากษส อสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะจนได้คำพรจากพระศิวะหลายประการ ยังให้เหล่าอสูรกลุ่มนี้ฮึกเหิมก่อความเดือดร้อนเป็นอันมาก พระอินทร์จึงทรงนำเทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าอ้อนวอนต่อพระศิวะ ขอให้พระองค์สร้างเทพแห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวางความพยายามของอสูรและรากษส
พระองค์จึงทรงแบ่งส่วนกายหนึ่งให้เกิดบุรุษร่างงามจากครรภ์ของพระนางปราวตีและตั้งพระนามว่าวิฆเนศวร เพื่อทำหน้าที่ขวางทางอสูร รากษส และคนชั่วมิให้ทำการ บัดพลีเพื่อขอพรจากพระศิวะ ทั้งยังเป็นผู้เปิดทางอำนวยความสะดวกต่อเทวดาและคนดีเพื่อเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ
ตำนานที่ 2. ปาราวตีนำเหงื่อไคลปั้นเป็นลูก ครั้งหนึ่ง ชยาและวิชยา พระสหายของนางปาราวตีได้แนะนำว่าปกติพระนางมักจะต้องใช้บริวารของพระศิวะอยู่เป็นประจำ ถ้าหากพระนางจะมีบริวารเป็นของตนเองก็คงจะดีไม่น้อย พระนางเห็นด้วย

จนวันหนึ่งขณะที่ทรงสรงน้ำอยู่ตาม ลำพังก็ทรงนึกถึงคำพูดของพระสหายจึงได้นำเอาเหงื่อไคลออกมาสร้างบุรุษรูปงาม สั่งให้ไปยืนเฝ้าทวาร มิให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอย่างนี้มาหลายเพลา จนวันหนึ่งพระศิวะได้เสด็จมา ฝ่ายลูกก็ป้องกันแข็งขัน โดยไม่รู้ว่านั่นคือ พ่อพระศิวะโกรธก็เลยสั่งให้ภูติและคณะของตนเข้าสังหารทวารบาลพระองค์นั้น

บ้างก็ว่าพระศิวะพุ่งตรีศูลตัดเศียรลูก บ้างก็ว่าพระวิษณุเทพที่มาช่วยรบนั้นใช้จักรตัดเศียร ความทราบถึงพระนางปราวตีจึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพและเทพี ขึ้นบนสวรรค์ฝ่ายฤาษีนารอดอดรนทนไม่ได้ จึงได้เป็นทูตสันติภาพขอเจรจากับนางปราวตีเพื่อสงบศึก

นางบอกว่าจะสงบศึกก็ต่อเมื่อลูกของนางฟื้นเท่านั้นพระศิวะจึงสั่งให้เทวดาเดินทางไปทิศเหนือ ให้เอาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อกับโอรสของนางปราวตี ปรากฏว่าเทวดาได้เศียรของช้างซึ่งมีงาเพียงข้างเดียวมา เมื่อพระคเณศฟื้นขึ้นมา ทราบความจริงว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไป ขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอใจมากประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือภูติผีทั้งหลายและทรงแต่งตั้งให้เป็นคณปติ

ตำนานที่ 3. ขวางทางคนชั่วไปเทวาลัยโสมนาถและโสมีศวร พระนางปาราวตีทรงเอาน้ำมันที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมกับเหงื่อไคลปั้นเป็นรูปคนแต่มีเศียรเป็นช้างจากนั้นได้เอาน้ำจากพระคงคาปะพรมให้มีชีวิตขึ้น เพื่อทำการขัดขวางแก่คนชั่วที่จะไปบูชาศิวะลึงค์ที่เทวาลัยโสมนาถและเทวาลัยโสมีศวรเพราะคนเหล่านี้หวังจะไปล้างบาปเพื่อมิให้ตกนรกทั้งเจ็ดขุม

ด้วยเหตุนี้ การที่วันคเณศจาตุรถี นิยมเอารูปปั้นพระคเณศมาจุ่มน้ำหรือนำเทวรูปปูนชิ้นเล็ก ๆมาทิ้งตามแม่น้ำคงคา ชะรอยจะมาจากความเชื่อที่ว่าน้ำจากแม่พระคงคาจะทำให้ พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง

ตำนานที่ 4. พระคเณศ กฤษณะอวตาร พระนางปาราวตีมเหสีของพระศิวะไม่มีโอรส พระศิวะจึงทรงแนะนำให้พระนางทำพิธีปันยากพรต (พิธีบูชาพระวิษณุเทพ ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือนมาฆะ) มีระยะเวลากำหนด 1 ปีเต็มและเมื่อครบกำหนด พระนางจะได้โอรสซึ่งเป็นพระกฤษณะ อวตารไปจุติ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำตรัสของพระศิวะ

ทวยเทพทั้งหลายมาร่วมอวยพรในกลุ่มเทพเหล่านี้มีพระศนิ (พระเสาร์) รวมอยู่ด้วย เมื่อพระศนิเหลือบมองพระกุมารทันใดนั้นเศียรกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นไปยังโคโลกซึ่งเป็นวิมานของพระกฤษณะพระวิษณุจึงเสด็จไปยังแม่น้ำบุษปุภัทรเห็นช้างนอนหัวไปทางทิศเหนือจึงตัดเศียรช้างกลับมาต่อให้กับเศียรกุมารที่หายไปนานนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สร้างโดยกลุ่มที่นับถือพระกฤษณะเป็นใหญ่

ตำนานที่ 5. ศิวะ-อุมาแปลงกายเป็นช้างเข้าสมสู่ ครั้งหนึ่งพระศิวะและพระนางปราวตีได้เสด็จมายังแถบภูเขาหิมาลัยได้เห็นช้างสมสู่กันก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะจึงได้แปลงเป็นช้างพลายส่วนนางปาราวตีแปลงกายเป็นช้างพังร่วมสโมสรจนมีลูก



ตำนานแห่งการเสียงาของพระพิฆเณศวร์

ตำนานแรก ปรศุรามใช้ขวานจามปรศุรามนั้นเป็นอวตารของวิษณุเทพ กล่าวว่า ปรศุรามได้ยืมขวานจากพระศิวะไปทำลายเหล่ากษัตริย์ เมื่อเสร็จภารกิจจะเข้าเฝ้าที่เขาไกรลาส ระหว่างนั้นบริเวณพระที่นั่งชั้นใน พระศิวะมหาเทพกำลังสนทนาอยู่กับนางปราวตี พระคเณศไม่ยอมให้ปรศุรามเข้าพบ ปรศุรามโมโหเลยใช้ขวานของพระศิวะขว้างไปยังพระคเณศ พระองค์จำใจต้องใช้ใช้งาข้างซ้ายรับขวานนั้น
ด้วยเหตุที่ท่านทรงมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่งในบิดา ครั้นจะต่อสู้กันไปก็อาจทำได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรกับการทำลายฤทธิ์เดชของอาวุธซึ่งเป็นของบิดาตนเอง

ตำนานสอง ได้เศียรช้างงาเดียว เมื่อคราวที่พระศิวะได้ทำพิธีโสกัต์และพระวิษณุเทพพลั้งเผลอเปล่งวาจา ยังผลให้เศียรของกุมารหายไปนั้น ได้มีเทวโองการให้หาเศียรของมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าในวันอังคารนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดถึงฆาต มีเพียงช้างงาเดียวที่นอนตายอยู่ทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรมาต่อให้

ตำนานสาม โดนพระศิวะใช้ขวานจามเมื่อคราวที่กุมารน้อยถือกำเนิดใหม่ ๆและเฝ้าปากทวารห้องสรงน้ำของพระแม่ปราวตีนั้นพระศิวะไม่ทราบว่าเป็นลูก เลยเกิดการต่อสู้กันพระศิวะโมโหจึงใช้ขวานขว้างไปโดนงาของพระคเณศหักตำนานสี่ งาถอดได้เองตามธรรมชาติเมื่อคราวที่พระคเณศต่อสู้กับอสูรอสุรภัค พระคเณศแสดงเดชโดยการถอดงาของตัวเองขว้างไป

ปางพระพิฆเณศวร์ปางพาลคเณศ,ปางนารทคเณศม, ปางลักษมีคเณศ, ปางวัลลยภาคเณศ, ปางมหาวีระคเณศ, ปางเหรัมภะคเณศ, ปางสัมปทายะคเณศปางตรีมุขคเณศม, ปางปัญจคฌณศ, ปางวิชัยคเณศ

พระแม่อุมาเทวี

กำเนิดพระอุมาเทวี(ชายาแห่งพระมหาศิวะเทพ)





กล่าวต่อจากเนื้อหาที่พระนางสตีที่ได้สละชีวิตของพระนาง เพื่อปกปัองศักดิ์ศรีแห่งพระศิวะเทพผู้สวามี ด้วยการใช้ไฟเผาไหม้ร่างกายตนจนสิ้นชีพ ในการต่อมา พระศิวะเทพจึงได้เข้าสู่การบำเพ็ญสมาธิ โดยมิได้ติดต่อผู้ใดเป็นระยะเวลานาน จนบรรดาทวยเทพทั้งหลายพากันเป็นห่วงถึงจักรวาล จึงได้รวมกันไปเข้าเฝ้าพระวิษณุเทพเพื่อขอให้หาหนทางแก้ไขเรื่องดังกล่าว

ชึ่งพระองค์ก็ได้กล่าวว่าคงต้องช่วยกันนั่งสมาธิส่งจิตถึงพระแม่ศักดิ-ศิวา ขอให้พระองค์ทรงอวตารแบ่งภาคมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง เพื่อให้พระศิวะทรงออกจากสมาธิกลับมาปกครองจักรวาลแห่งนี้พระอุมา จึงถือกำเนิดในคืนที่ 9 เดือนมธุ (มีนาคม-เมษายน)

ตั้งแต่แรกเกิดพระอุมาทรงเป็นที่รักยิ่งของทุกๆ คน จึงได้นามว่าพระปารวตี... ต่อมาเมื่อเติบใหญ่ พระอุมามีความตั้งใจยิ่งที่จะออกบำเพ็ญพรต เมื่อได้ศึกษาวิชาจากพระอาจารย์ต่างๆ จนชำนาญเก่งกาจมีความสามารถระลึกชาติได้

(เมื่อเยาว์วัย พระฤาษีนารทได้ทำนายชะตาไว้ว่า พระอุมานั้นทรงมีลักษณะมงคลยิ่งนักและจะนำความสุขมาสู่ครอบครัว คู่ครองของพระนางจะมีลักษณะเป็นโยคีนุ่งห่มหนังเสือหนังช้าง!!)

ดังนี้แล้ว ท้าวหิมวัตและพระนางเมนกาตระหนักดีว่าการทำนายของพระฤาษีนารท (พระฤาษีนารอด) แม่นยำยิ่งนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีหนทางใดที่จะนำพระอุมา ธิดาแห่งตนให้พบกับพระศิวะเทพได้ ด้วยว่าพระศิวะเทพทรงอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญตนเข้าสมาธิ

แต่ก็ด้วยวาสนาของการเป็นคู่ครองกันในอดีตชาติ ในช่วงเวลาที่พระศิวะทรงเสด็จไปยังดินแดนอิษชิปรัสกะเพื่อทำสมาธิ ท้าวหิมวัตจึงทรงเสด็จเข้าเฝ้า กล่าวสรรเสริญขออุทิศตนเป็นทาสรับใช้ของพระศิวะเทพ จนพระองค์พอพระทัยยิ่งจึงลืมพระเนตรออกจากสมาธิ และกล่าวขอให้ท้าวหิมวัตช่วยจัดสถานที่นั่งสมาธิ ณ คงคาวัตวัณในแคว้นหิมาลัย และสั่งห้ามมิให้ใครเข้ามารบกวนในที่นั่นเป็นเด็ดขาด

ท้าวหิมวัตจึงได้ทำตามพระประสงค์ จนรุ่งเช้าท้าวหิมวัตจึงพาพระอุมาให้นำผลไม้ถวายต่อพระศิวะ พร้อมทั้งกล่าวว่าขอให้พระองค์ทรงรับพระประวัติเป็นข้ารับใช้ด้วย เมื่อพระศิวะลืมพระเนตร เห็นความงดงามของพระอุมา จึงเกิดความรักและพอพระทัยยิ่งนัก แต่ก็ทรงหักพระทัยเข้าสู่สมาธิโดยทันที

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ท้าวมหิมวัตจึงสวดอ้อนวอน เพื่อให้พระศิวะลืมพระเนตรอีกครั้งและกล่าวว่าในทุกๆ วันตนและบิดาจะมาเป็นผู้เคารพบูชาพระองค์ พระศิวะจึงกล่าวตอบกับท้าวหิมวัตว่า เหตุที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญสมาธิคือสตรี ซึ่งผู้บำเพ็ญตนที่ดีอาจถูกทำลายสมาธิลงได้ สตรีคือฐานแห่งความรักใคร่ความสำราญ สตรีจะเป็นผู้ทำลายสิ้น

พระอุมาจึงกล่าวแสดงความเคารพต่อองค์ศิวะ และทูลอย่างสุภาพว่า พระศิวะคือจ้าวแห่งสมาธิกรรมูฐานเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งจักรวาล ไม่มีการโอนเอนต่อพลังที่เหนือธรรมชาติ แล้วใยจึงเกรงกลัวต่อสตรีอย่างพระนางด้วย

พระศิวะเมื่อได้ฟังจึงต้องยอมจำนนกับคำโต้ตอบ และได้อนุญาตให้พระอุมาและสหายของพระนางเข้าออกได้ เพื่อรับใช้ตามที่ต้องการ ส่วนพระอุมา ก็ได้เข้ารับใช้มหาเทพด้วยการล้างพระบาทและดื่มน้ำนั้นเป็นประจำ ถวายการรับใช้อย่างไม่ย่อท้อ พร้อมทั้งขับกล่อมบทเพลงแสดงความเคารพต่อพระศิวะเรื่อยมา

พระศิวะเทพปฏิบัติสมาธิด้วยโดยปฏิญาณไว้ว่า ผู้ที่จะเป็นคู่ครองจะต้องเป็นโยคินีด้วย จึงจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ

ฝ่ายฤาษีนารท จึงแนะนำให้พระอุมาบำเพ็ญตนที่คงคาวัตวัณเป็นเวลาสามพันปีเทพ โดยฤดูร้อนให้ก่อไฟรายล้อม และสวด "โอม นะมัส ศิวายะ" ส่วนในฤดูฝนให้นั่งบนผืนดินปล่อยให้กายชุ่มน้ำฝน และให้สำรวมจิตเป็นที่ตั้ง ในฤดูหนาวให้ประทับในน้ำเพื่อทำสมาธิต่อพระศิวะ ปีแรกให้ทานผลไม้ ปีต่อมาเป็นผักและใบไม้ ปีที่สามอดอาหารและทำสมาธิอย่างเดียว

สิ่งที่พระอุมาปฏิบัตินี้ พระศิวะเทพผู้มองเห็นการกระทำจึงพอพระทัยนักในฐานะโยคินี แต่พระองค์ต้องพิสูจน์ในความมั่นคงของพระอุมาด้วย จึงให้ฤๅษีเข้าทำลายความตั้งมั่นของพระอุมา ฝ่ายพระอุมาก็ทรงยึดมั่นต่อพระศิวะมิอาจเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของตนลงได้

จนพระศิวะแปลงเป็นพราหมณ์เฒ่ามากล่าวด้วยวาจาต่างๆ เพื่อให้จิตใจสั่นคลอน แต่ก็มิเป็นผล สุดท้ายพราหมณ์เฒ่าจึงกลับกลายเป็นพระศิวะเทพต่อหน้าพระอุมา และกล่าวคำรับนางเป็นคู่ครอง และได้เข้าสู่พิธีอภิเษกสมรส พระศิวะและพระแม่อุมาจึงเป็นเทพคู่ครองกันแต่นั้นเป็นต้นมา...


วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

พระแม่ปาราวตี



พระแม่ปาราวตี




พระแม่อุมาเทวี... เจ้าแม่อุมา หรือ ปารวตี คือพระนามแห่งพระแม่ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล เป็นเทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมีอันสูงสุด พระองค์ทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นใหญ่แก่ผู้หมั่นบูชาต่อพระองค์อย่างสม่ำเสมอ..!!!


อำนาจแห่งพระแม่อุมานั้น ยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเทียบได้ พระองค์ทรงประทานชัยชนะเหนือศัตรู ประทานกำลังวังชาแห่งอิสตรี ทำลายสิ่งชั่วช้า ตลอดจนประทานบริวารและอำนาจในการปกครอง พระองค์ยังทรงประทานพรด้านความสมบูรณ์ ความอิ่มเอม ความผาสุขในการครองเรือน ครอบครัวที่เปี่ยมสุข ตลอดจนการคุ้มครองผู้ศรัทธาให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงพระแม่อุมา ทรงเป็นมารดาแห่ง พระพิฆเนศ... เป็นชายาแห่ง พระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายโลก 1 ใน 3 แห่ง พระตรีมูรติ

พระแม่อุมาจึงเป็น 1 ใน 3 แห่งพระตรีศักติ ด้วย (ตรีศักติ หมายถึง พระแม่ทั้งสาม ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี) พระองค์มีวิมานสถิต ณ เขาไกรลาส เช่นเดียวกับพระศิวะเทพ มีสัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โยนี (ฐานรองศิวลึงก์) มีทิพยรูปเป็นหญิงที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เป็นมารดาแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์หลากสีสัน ประดับด้วยทองคำอย่างวิจิตร

พาหนะแห่งพระแม่อุมาเทวี คือ เสือ อันหมายถึงพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และความสง่างามศาสตราวุธ แห่งพระแม่อุมาเทวีคือ- ตรีศูล เป็นสัญลักษณ์แห่งการปราบปรามสิ่งชั่วร้าย และ - ดาบ คือสัญลักษณ์แห่งความเฉียบขาด เป็นผู้ตัดสิน และอยู่เหนือผู้อื่น

พระแม่อุมาเทวี (เจ้าแม่อุมา) มีอวตารอยู่หลายปาง ปางที่สำคัญที่สุดอีก 2 ปางจากพระแม่อุมา คือ ปางพระแม่ทุรคา (ทุรกา) และ ปางพระแม่กาลี (เจ้าแม่กาลี)

อีกปางหนึ่งที่อยากแนะนำ แต่ไม่ค่อยมีคนไทยรู้จัก นั่นคือ ปางพระแม่อุมาตากี คือการอวตารของพระแม่อุมาเทวี ที่รวมเอาพระแม่อีก 2 พระองค์เข้าไว้ด้วย คือ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ได้อวตารรวมเป็นร่างเดียวกัน เหมือนกับพระตรีมูรติ นิยมนับถือกันในหมู่ผู้นับถือนิกายศักติ หรือนิกายที่นับถือเฉพาะเทพสตรีทั้ง 3 พระองค์ว่ายิ่งใหญ่เหนือกว่า พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ อันเป็นเทพบุรุษสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ตำนานพระแม่อุมาเทวี

"พระแม่อุมา " นั้นแต่เดิมเกิดขึ้นจากการที่พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างขวาลูบเบาๆ ที่กลางพระอุระ พระแม่อุมาจึงจุติขึ้นกลางทรวงอกของพระศิวะ

บ้างก็กล่าวไว้ว่าพระแม่อุมาเทวีเป็นธิดาของ ท้าวหิมวัต และ พระนางเมนกา เทพผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาหิมาลัย

แต่ในบางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระอุมาเป็นธิดาของ พระทักษะประชาบดี และเป็นพี่น้องกับ พระแม่คงคา (พี่สาวของพระแม่อุมา) พระอุมาในภาคนั้นมีพระนามว่า พระสตี เป็นชายาของ พระมุนีภพ คือ พระศิวะ อีกภาคหนึ่งเรื่องราวในตอนนี้คงเป็นตอนก่อนกำเนิดเป็นพระแม่อุมาเทวี ซึ่งได้ปรากฏเป็นเรื่องเล่าขานกัน

เริ่มต้นจากความจงรักภักดีด่อพระสวามี (พระศิวะ) โดยพระนางได้ใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้ไฟเผาไหม้ตนเองซึ่งกล่าวไว้ว่า พระศิวะ ทรงอวตารลงมาในภาคของ มุนีภพ แต่ก็ด้วยความที่พระองค์ทรงแปลงร่างอวตารลงมาในชุดนุ่มห่มแบบปอนๆ มอซอ และมีสังวาลสวมคอเป็นประคำโดยนำกระดูกมาร้อยต่อกัน ไว้ผมหนวดเครารุงรัง ชอบนอนตามป่าช้า ร่างกายมีกลิ่นตัวเหม็นสาบ (แตกต่างจากการแบ่งภาคอื่นๆ)

ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมสร้างบารมี ด้วยการบำเพ็ญตน บำเพ็ญตบะ ซึ่งกาลต่อมาด้วยบุญกรรมที่สร้างสมกันมาแต่ก่อน ทำให้พระนางสตีมองเห็นรูปกายที่แท้จริงว่าพระมุนีภาพองค์นี้ก็คือ ภาคหนึ่งแห่งองค์พระศิวะผู้เป็นผู้ใหญ่ในสามโลก

พระนางสตีจึงตกลงใจอยู่คอยรับใช้ดูแลในฐานะชายา ฝ่ายพระทักษะประชาบดีมิได้เห็นด้วยกับความคิดของพระนางสตีนัก แต่ก็มิได้ขัดขวางแต่ประการใด ก็มีความคิดที่มาได้ไม่ชอบใจในตัวของพระมุนีภพเลย กลับแสดงความรังเกียจในการกระทำ ทั้งรูปร่าง การแต่งกายของพระมุนีภพมาโดยตลอด

พระทักษะประชาบดีนั้นมีพระธิดามากมายนัก และก็มากด้วยราชบุตรเขยเช่นกัน เป็นต้นว่า พระจันทร์ พระยมราช และพระมุนีอีกจำนวน 11 องค์ ซึ่งล้วนแต่มีอิทธิฤทธิ์บารมีทั้งสิ้น

ฝ่ายบรรดาราชบุตรเขยต่างๆ ก็คอยเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อตาอยู่เป็นนิจตลอดมา เว้นก็แต่พระมนีภพผู้เป็นสวามีพระนางสตีเท่านั้น ที่ไม่เคยเข้ามาเอาใจเลย จึงเป็นเหตุผลอีกกรณี ที่ทำให้พระทักษะประชาบดียิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก

กระทั่งวันหนึ่งพระทักษะประชาบดีต้องการจัดพิธียัญกรรม โดยพิธีการนี้ได้เชิญเหล่าเทพต่างๆ บนสวรรค์ พร้อมทั้งเหล่าราชบุตรเขยเข้าร่วมในพิธีกรรมนี้ทุกองค์ แต่ก็ยกเว้นพระมุนีภพเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่ได้ให้เข้าร่วมพิธียัญกรรมในครั้งนี้ด้วย

ด้านพระนางสตีเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงเข้าสอบถามกับผู้เป็นบิดาถึงเรื่องนี้ ว่ามีเหตุอันใดจึงไม่เชิญพระสวามีของตนให้เข้าร่วมพิธียัญกรรม ฝ่ายผู้เป็นพ่อแรกๆ ก็กล่าวถึงการกระทำ การแต่งกายของพระมุนีภพว่าไม่เหมาะสมและพูดจาดูหมิ่น ดูถูกพระมุนีภพในทางที่เสียหาย ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวได้กระทำต่อหน้าราชบุตรเขยองค์อื่นๆ ที่มาร่วมในงานนี้

แต่พระนางสตีก็อ้อนวอนต่อบิดา ให้พระสวามีของตนได้เข้าร่วมในพิธีนี้ จนพระทักษะประชาบดีเกิดความรำคาญเป็นยิ่งนัก จึงกล่าววาจาด้วยเสียงอันดัง ต่อหน้าผู้เข้ามาร่วมในพิธีด้วยความดูหมิ่น รังเกียจต่อพระมุนีภพยิ่งนัก จนในที่สุดพระนางสตีผู้จงรักภักดีต่อสวามีของตน สุดที่จะทนต่อไปได้ ในวาจาที่รับฟังจากพระบิดาตนเองที่กล่าวประจานพระมุนีต่อหน้าผู้อื่น

พระนางสตีจึงตัดสินพระทัยแสดงอิทธิฤทธิ์ เปล่งแสงเปลวไฟอันร้อนแรงจากภายในกาย จนเผาตนเองมอดไหม้ต่อหน้าพระบิดาและผู้ร่วมพิธี จนสิ้นชีพในที่สุด (บางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระนางสตีกระโดดเข้ากองไฟในพิธี)

ฝ่ายพระศิวะในภาคพระมุนีภพ เมื่อได้ฟังคำเล่าบอกจาก พระฤๅษีนารท (ฤาษีนารอด) ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระชายาของพระองค์ทรงเศร้าเสียใจเป็นที่สุด

จากความเศร้าที่ทรงมีอยู่นั้น จึงทรงดึงเส้นผมออกมาปอยหนึ่ง ก็บังเกิดเป็นอสูรร่างกายใหญ่โต มีฤทธิ์เดชมากมาย มีพันเศียร พันกร สวมประคำหัวกระโหลกและงู นามว่า อสูรวีรภัทร บางคัมภีร์กล่าววาอสูรวีรภัทรนี้แบ่งภาคโดยออกจากพระโอษฐ์ของพระศิวะ

แล้วพระศิวะจึงได้สั่งให้อสูรวีรภัทรไปยังพิธีที่จัดขึ้นและให้ทำลายพิธีนั้นให้สิ้นในที่สุด ฝ่ายอสูรวีรภัทรเมื่อรับฟังคำสั่งจึงตรงไปยังพิธีทันที พร้อมด้วยเหล่าสมุนยักษนับถัน เมื่อไปถึงจึงเข้าอาระวาดทำลายพิธี และบรรดาเทพทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างก็หลบหนีทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็พากันบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย

โดยอสูรวีรภัทร เมื่อทำลายพิธีแล้ว จึงได้ประกาศในพิธีว่า นี่คือโทษที่ต้องได้รับจากพระศิวะ ส่วนพระทักษะประชาบดีบิดาของพระสตีได้ถูกอสูรวีรภัทรพ่นไฟใส่พระเศียรจนขาดกระเด็นมอดไหม้เป็นจุล และเมื่อหัวขาดแล้วอสูรวีรภัทรจึงนำหัวนั้นโยนเข้ากองไฟมอดไหม้ไปด้วยความแค้นที่ดูหมิ่นในศักดิ์ศรีของพระศิวะ

เมื่อทกอย่างเสร็จตามคำบัญชาของพระศิวะ อสูรวีรภัทรพร้อมสมุนยักษ์จึงยกทัพกลับไปเข้าเฝ้าพระศิวะดังเดิม อสูรวีรภัทร พร้อมสมุนยักษ์จึงทัพกลับไปเข้าเฝัาพระศิวะดังเดิมเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าเทพทั้งหลาย รวมถึงบรรดาราชบุตรเขยที่รอดชีวิตมาได้ พากันไปขอความช่วยเหลือจาก พระพรหม เพื่อให้ทรงแนะหาทางแก้ไขว่าควรจะทำเช่นไรจึงจะทุเลาความโกรธกริ้วของพระศิวะได้ เพื่อไม่ให้โลกถูกทำลายลงไป เพราะพระศิวะเป็นเทพผู้ทำลาย

พระพรหมเมื่อได้ฟังแล้วจึงได้นำเหล่าเทพทั้งหลายนั้นไปเข้าเฝ้าพระศิวะที่เขาไกรลาส เพื่อขอความเห็นใจและขมาในสิ่งที่เกิดขึ้น จนในที่สุดการเจรจาพูดคุยกันนั้น พระศิวะจึงยอมสงบศึกพร้อมกับช่วยชุบชีวิตเหล่าเทพที่ได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น

ทั้งนี้การชุบชีวิตนั้นก็รวมถึงพระทักษะประชาบดีผู้เป็นพ่อตาของพระองค์ด้วย แต่เศียรที่มอดไหม้ไปนั้นมิได้ทรงนำมาคืนให้ พระองค์ได้นำหัวแพะมาต่อให้กับพระทักษะประชาบดี เพื่อแสดงให้เหล่าเทพทั้งหลายได้เห็นความโง่ของพระทักษะประชาบดี แม้แต่รูปกายภายนอกจะเป็นเช่นไร ก็ไม่สมควรดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามผู้นั้นโดยมิได้ดูถึงเนื้อแท้และการกระทำที่ดีของเขาเลย

เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว พระศิวะจึงมุ่งไปบำเพ็ญตบะ บำเพ็ญตนเป็นมุนีต่อในป่าหิมพานต์เพื่ออุทิศกุศลให้กับพระนางสตี ผู้เป็นชายาของพระองค์ต่อไป...

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ศิวลึงก์

ศิวลึงก์ สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ




ในไทยเรานั้น อาจคุ้นเคยกับกับเครื่องรางหรือวัตถุมงคลอย่างหนึ่ง ที่มีอำนาจสูงส่งด้านโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยม ซึ่งเรารู้จักมักคุ้นกันดีในชื่อของ "ปลัดขิก" ปลัดขิกของไทยนั้นมีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีที่มาจาก ศิวลึงค์ ของอินเดีย ตามคติของ ไศวะนิกาย อันเป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย

เครื่องหมายที่เป็นองค์แทนของพระศิวะนั้น ชาวไศวะนิกายใช้รูปของ ศิวลึงค์ หรือเครื่องเพศของชาย เป็นสัญลักษณ์สำคัญโดยให้เหตผลว่า นี่คือสัญลักษณ์แห่งพระผู้สร้าง สัญลักษณ์แห่งการให้กำเนิด คติการนับถือนี้นับว่ามีมานานมากที่สุด มีมานานนับพันๆ ปีมาแล้วและแพร่เขาสู่สยามประเทศผ่านทางวัฒนธรรมขอม และหัวเมืองฝ่ายใต้ด้านมลายู

แต่เป็นที่แปลกที่ว่าหากเราไปในประเทศอินเดียพูดถึง ปลัดขิก กลับไม่มีใครรู้จัก แต่เขารู้จักเครื่องรางชนิดนี้ในนามของ "ศิวะลิงคัม" ซึ่งแท้ที่จริงก็มาจากคำว่า ลิงคะ หรือภาษาไทยคือ ลึงค์ นั่นเอง


ในการนับถือพระศิวะนั้น มักมีการทำรูปสมมุติของพระองค์ด้วยการทำเป็นศิวะลึงค์ หรือสัญลักษณ์แห่งเพศชาย ด้วยเชื่อว่า พระศิวะ คือเทพเจ้าแห่งการรังสรรค์การกำเนิด (คติของไศวะนิกายนั้น การสร้างโลกของพระพรหมเป็นคำบัญชาของพระศิวะ)ดังนั้น สัญลักษณ์สากลที่เป็นตัวแทนของพระองค์ที่เหมาะสมที่สุดจึงเป็น แท่งศิวลึงค์ นั่นเอง

ดังจะพบศิวลึงค์นี้ตามเทวสถานทั้งในยุคโบราณและยุคปัจจุบัน และเชื่อถือกันว่าศิวลึงค์นี้เป็นตัวแทนพระองค์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบันดาลปาฏิหาริย์อำนวยอวยพรให้แก่ผู้ศรัทธาคติการนับถือศิวลึงค์ หรือ ลิงคัม หรือ ลิงคะ นี้ถ้าเป็นชาวฮินดูโดยแท้ จะมีหัวใจในการนับถือมุ่งเน้นไปที่พระศิวะมากกว่าอย่างอื่น แต่อย่างในไทยเรานั้นแม้จะมีการนับถือปลัดขิก ซึ่งมีรากฐานมาจากศิวลึงค์อันเป็นตัวแทนของพระศิวะ

แต่การนับถือปลัดขิกนั้นก็มิได้มุ่งความใส่ใจไปที่องค์พระศิวะ กลับมุ่งเน้นไปที่ตัวพระเกจิอาจารย์ผู้ปลุกเสกมากกว่า แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น ที่แตกต่างกันมาก เพราะในไทยเราศาสนาฮินดูกลมกลืนอยู่ในศาสนาพุทธ ดังนั้นเครื่องรางจากฮินดูแทนที่จะสื่อไปถึงองค์พระเป็นเจ้าต้นสังกัดแท้ๆ กลับถูกโอนไปที่ตัวพระเกจิอาจารย์แทน

ในวัฒนธรรมฮินดู การนับถือศิวลึงก์หรือลิงคัมนี้ เป็นเรื่องปกติที่มีมานานหลายพันปีมาแล้ว ศิวลึงก์มีทั้งที่เกิดจากการสร้าง ขึ้น และที่เกิดเองตามธรรมชาติ





กำเนิดของศิวลึงค์นั้น ปรากฏเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างจะแปลกแยก แตกต่างกันออกไป ตามแต่ละคัมภีร์ แต่ละในศาสนาต่างๆ ทางคติพราหมณ์ ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า องค์พระศิวะนั้นทรงตั้งพระทัยที่จะประทานรูปศิวลึงค์ หรือรูปเคารพที่เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ให้กับสาวกทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ได้สักการะบูชาแทนพระองค์

ซึ่งการที่ประทานรูปเคารพเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากในงานบูชา ตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 ซึ่งประกอบไปด้วย พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ที่จะต้องแสดงพระวรกายให้สาวกได้เห็นเป็นบุญตา

พระพรหมก็ปรากฏพระวรกายออกมาในรูปลักษณ์ที่มี 4 พักตร์ 4 กร ส่วนพระวิษณุก็จะปรากฏพระวรกายมาในรูปลักษณ์ที่เป็นมหาเทพมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร แต่สำหรับพระศิวะนั้น ทรงปรากฏพระวรกายในรูปกายที่แปลกแหวกแนวสักหน่อย คือไม่ปรากฏออกมาเป็นรูปองค์เทพโดยตรง แต่กลับแสดงพระวรกายให้ปรากฏออกมาเป็นรูปอวัยวะเพศชาย ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมหาเทพนั่นเอง

ดังนั้นหลังจากงานพิธีกรรมบูชาเทพตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 พระองค์นี้แล้ว บรรดาสาวกก็ได้สร้างศาลรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพพระพรหมเป็นรูปที่มี 4 พักตร์ 4 กร และสร้างรูปเคารพพระนารายณ์เป็นรูปมหาเทพผู้งดงามมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร และสำหรับพระศิวะนั้น สาวกก็ได้สร้างรูปเคารพให้เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ตามที่พวกตนได้พบเห็นปรากฏแก่สายตา อันเป็นรูปจำลองเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะนั่นเอง

ในคัมภีร์โบราณอีกเล่มหนึ่งนั้นได้บันทึกไว้ว่าในวันหนึ่ง พระศิวะกำลังร่วมภิรมย์เสพสมกับพระแม่อุมาอัครมเหสี อย่างแสนสุขสันต์ในวิมารของพระองค์บนเขาไกรลาส แต่การเสพสมภิรมย์รักนี้ มิได้กระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์แต่อย่างใด

พระศิวะและพระแม่อุมาทรงกระทำกันกลางท้องพระโรงเลยทีเดียว ดังนั้นบังเอิญเมื่อเหล่าทวยเทพทั้งปวงที่กำลังจะมาเข้าเฝ้าพระศิวะ ได้พบเห็นเข้า จึงรู้สึกว่าพระศิวะนั้นกระทำการอันไม่บังควร เป็นการอนาจารเป็นอย่างยิ่งหากทรงกระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด แต่หน้าท้องพระโรงนั้นเป็นที่เปรียบเสมือนห้องรับแขก ที่ย่อมจะต้องมีผู้คนผ่านเข้าออกได้เสมอ และเมื่อทวยเทพผ่านพบเห็นเข้าว่าองค์พระศิวะที่เป็นถึงมหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกรลาส กำลังเสพสังวาสกับอัครมเหสีอย่างประเจิดประเจ้อ กลางท้องพระโรงเช่นนั้นจึงพากันรังเกียจเดียจฉัน และเสื่อมศรัทธาในองค์พระศิวะเป็นอย่างมาก

บรรดาทวยเทพจึงได้พากันเย้ยหยันและหมดสิ้นความนับถือยำเกรงในองค์มหาเทพ ต่างก็พากันยืนดูแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเห็นเป็นเรื่องที่น่าสมเพชไป
ด้วยเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พระศิวะทรงโกรธกริ้วเป็นยิ่งนัก จึงได้ทรงประกาศว่า อวัยวะเพศของพระองค์นี้แหละ จะเป็นเสมือนสัญลักษณ์และตัวแทนของพระองค์ ที่บรรดามนุษย์และเทพเทวะทั้งปวง จะต้องกราบไหว้บูชา

ถ้าต้องการความสุขและความสำเร็จอันงดงามในชีวิตและอวัยวะเพศหรือศิวลึงค์นั้น ก็จะมีดวงตามหาศาลล้อมรอบศิวลึงค์ถึง 1,000 ดวงตา

เพื่อจะได้สามารถมองเห็นได้เด่นชัดในทุกทิศทุกทาง โดยดวงพระทัยและดวงพระวิญญาณขององค์พระศิวะจะสถิตอยู่ด้วย เพื่อคุ้มครองและอำนวยพรให้กับผู้ที่สักการะบูชาศิวลึงค์นั้น

เมื่อได้ทรงแล่นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์มาในขณะที่กำลังเกิดความกริ้วและความอัปยศเป็นที่สุดนั้น ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์จึงได้บังเกิดสัมฤทธิ์ผลเป็นจริง





อำนาจของศิวลึงก์

ศิวลึงก์ หรือ ศิวลิงคัม ที่เกิดเองตามธรรมชาตินั้น โยคีแต่โบราณกล่าวว่า มันเกิดจากอำนาจของพระเป็นเจ้าบันดาล ผู้ได้มีไว้ย่อมถือว่าเป็นบุญลาภวาสนาของผู้นั้น อำนาจของศิวลึงค์หรือลิงคัมตามธรรมชาติมีอำนาจนานัปประการ มีพลังเหนือธรรมชาติ

ตามตำนานในเรื่อง รามายณะ หรือ รามเกียรติ์ เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า อสูรชื่อ ตรีบุรำ เที่ยวเกะกะระรานชาวบ้าน จนเดือดร้อนไปทั้งสามโลก พระเป็นเจ้ามีบัญชาให้พระนารายณ์กำจัดเสีย แต่พระนารายณ์ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้ เพราะอสูรตรีบุรำทูลศิวลึงค์ไว้เหนือศีรษะของตน พระนารายณ์จึงใช้กลลวงไปชิงเอาศิวลึงค์มาจากอสูรเสียก่อน จากนั้นจึงสังหารได้

อำนาจของศิวลึงค์ตามกล่าวมานี้ ย่อมมีอำนาจในการพิทักษ์รักษาชีวิต มิให้ต้องด้วยสรรพาวุธทั้งหลายและปราศจากอันตรายทั้งปวงเครื่องหมายแห่งอำนาจและความสำเร็จ

น้อยคนที่จะรู้ว่า ในหลากหลายหน่วยงานและหลากหลายธุรกิจ มีการนำเอาสัญลักษณ์ศิวลึงค์มาเป็นลัญลักษณ์ทางการค้า หรือตราแห่งเกียรติยศ
อำนาจของศิวลึงค์ที่ถูกซ่อนไว้นี้แสดงถึงความเชื่อของนักบริหารธุรกิจ ที่เชื่อว่าศิวลึงก์จะสามารถสร้างความเจริญให้แก่องค์กรของตนได้ หรือเชื่อในอำนาจของศิวลึงค์ที่จะปกป้องคุ้มครอง และทำให้หน่วยงานของตนเป็นที่เกรงขาม มีอำนาจเหนือหน่วยงานอื่นและบุคคลทั้งหลายโดยทั่วไป มีอำนาจเหนือกว่าคู่แข่งทางธุรกิจของตน และนำมาซึ่งผลกำไรอันมหาศาล นำมาซึ่งความสำเร็จอย่างสูงสุดของธุรกิจการงาน

เนื่องจากการบูชาศิวะลึงค์นั้น สำหรับผู้นับถือศาสนาฮินดูย่อมเชื่อว่า เป็นการบูชาพระศิวะพระเป็นเจ้าของพวกเขา ดังนั้นการได้กราบไหวศิวะลึงก์นั้นเขาเชื่อว่าเป็นการได้บุญอย่างยิ่ง

อำนาจจากพระศิวะนั้นสามารถต่ออายุผู้ที่ใกล้สิ้นใจ สามารถรักษาอาการไข้ที่เป็นมานาน สามารถบันดาลให้พ้นจากความยากจน ทั้งสามารถป้องกันภูติผีปีศาจ ไสยศาสตร์มนต์ดำทุกชนิด และแม้เมื่อสิ้นใจไปแล้วก็ย่อมไปอยู่กับพระศิวะ ย่อมไม่ตกลงสู่อบายภูมิ

อิทธิฤทธิ์ของศิวะลึงค์นั้นเกินกว่าบรรยาย ทั้งนี้ผู้ที่ศรัทธาในศิวะลึงค์ต้องเชื่อและศรัทธาในพระศิวะด้วย การบูชาศิวลึงก์นั้น ชาวฮินดูจะสรงน้ำนม แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เอาผงแดงสำหรับเจิมหน้าผากมาเดิมให้ พร้อมทั้งกล่าวคำภาวนาซ้ำๆ ว่า"โอม นมัส ศิวาย...โอม นมัส ศิวาย...โอม นมัส ศิวาย..." ถือว่าเป็นการได้บุญกุศลอย่างยิ่งและยังสามารถเพ่งศิวลึงก์ เพื่อทำสมาธิเป็นประจำทุกวัน แล้วสวดมนต์ขอพรต่อพระศิวะ ให้เข้าถึงบารมีอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระศิวะได้อีกด้วย









ศิวะนาฏราช การร่ายรำของพระศิวะ
พระศิวะเป็นมหาเทพที่ค่อนข้างจะอยู่ในแนวของศิลปินมากกว่าเทพองค์อื่นๆ บรรดาทวยเทพทั้งปวง ต่างกล่าวขวัญกันถึงอารมณ์ศิลป์ของพระศิวะว่า เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
เป็นต้นว่าในเรื่องของการแต่งองค์ทรงเครื่อง พระศิวะก็ไม่ค่อยจะโปรดแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันหรูหรา ตระการตาดั่งราชันย์

ไม่โปรดที่จะประดับแก้วแหวนเงินทอง พราวระยับจับตาดั่งเทพส่วนใหญ่ พระศิวะทรงโปรดที่จะแต่งตัวปอนๆ ห่มหนังสัตว์มุ่นพระเกศาไว้รวกๆ มีงูเป็นดั่งสังวาลย์สาย

พระองค์ชอบที่จะไปนั่งบำเพ็ญภาวนาตามป่าช้าที่เต็มไปด้วยเงาของภูตพรายสารพัน

พระศิวะยังทรงเป็นศิลปินแท้ๆ ที่ได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นเจ้าของตำรับการร่ายรำระบำฟ้อนแห่งอินเดีย ด้วยเพราะทรงเป็นเทพแห่งศิลปะการร่ายรำ ปางหนึ่งของพระศิวะที่แสดงถึงฐานะของพระองค์ชัดเจน จึงเป็นปางที่ถือได้ว่าเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนักก็คือ ปางนาฏราช (nataraja)
ในตำนานเล่าว่า พระศิวะทรงชักชวนพระนารายณ์ปลอมแปลงโฉม เป็นสามี-ภรรยากันไป ณ ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อกำราบเหล่าดาบสที่ไม่ตั้งตนบำเพ็ญตบะ และบูชาเทพอย่างที่ควร ดาบสกลุ่มนั้นประพฤติตนเหลวไหล ใฝ่ไปในทางชั่วมากกว่าจะอยู่ในศีลในธรรม

เมื่อทั้ง 2 มหาเทพไปปรากฏตัวในป่านั้นในฐานะของโยคีหนุ่มกับภรรยาสาว (พระนารายณ์ทรงปลอมเป็นภรรยาพระศิวะ) เหล่าดาบสผู้มากกิเลสตัณหา ก็พากันมาเวียนวน เกี้ยวพาราสีสาวงามภรรยาของโยคีหนุ่ม โดยไม่สนใจหรอกว่านางเป็นผู้มีคู่มีเจ้าของแล้ว บรรดาเมียๆ ของดาบส ต่างก็ไม่วางตนว่าไม่โสดแล้ว พากันมาให้ท่าทอดสะพานโยคีรูปงามกันมิเว้นวาย

เวลาผ่านไป ก็ไม่มีดาบสผู้ใดพิชิตภรรยาสาวของโยคีได้ ความพิศวาสจึงได้กลายเป็นความเคืองแค้น เหล่าดาบสจึงพากันสาปแช่งโยคีและเมียรักให้มีอันเป็นไป แต่ทว่าคำสาปนั้นหลับไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น พวกดาบสนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า โยคีนั้นคือพระศิวะและภรรยานั้นคือพระนารายณ์ อิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใดๆ ก็มิอาจกล้ำกรายผู้เป็นเทวะได้แน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้นั้น จึงยังทำพวกดาบสกำเริบเสิบสานต่อไป

พวกดาบสส่งยักษ์ชื่อมุยะละกะมาปราบ พระศิวะก็ทรงสำแดงฤทธิ์เดช ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอกยักษ์ไว้ แล้วก็ทรงร่ายรำไปในลีลาอันวิจิตรพิสดารยิ่งนัก บรรดาดาบสทั้งหลายจึงยอมศิโรราบ กราบขอขมาต่อพระศิวะโดยดี เมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังอหังการกับมหาเทพเสียแล้ว
อีกตำนานโบราณฝ่ายไศวะนิกาย กล่าวไว้ว่า เมื่อพระศิวะทรงตีกลองเป็นจังหวะอันไพเราะ โลกใบนี้ได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะกลองนั้นด้วย และเมื่อพระศิวะทรงร่ายรำเคลื่อนไหวพระองค์และพระกรพลิ้วไป ก็เป็นเหตุให้บังเกิดสุริยจักรวาลขึ้นในบัดนั้นเอง!!
นักระบำของอินเดียจะต้องร่ายรำในท่าบูชาพระศิวะก่อนเสมอ แล้วจึงค่อยร่ายรำในท่าอื่นๆต่อไปสำหรับท่วงท่าการร่ายรำทั้ง 108 ท่า ของพระศิวะนั้น ล้วนเป็นท่าที่ต้องใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา ข้อมือ เท้า เอว อก สะโพกหรือแม้แต่กล้ามเนื้อรอบดวงตา ลีลานาฏศิลป์แบบพระศิวะนั้นทั้งงดงามและน่าเกรงขาม
นอกจากนี้ นาฏลีลาของพระศิวะนั้น เป็นต้นแบบของท่าฟ้อนรำแบบไทยๆ เราด้วย ซึ่งได้นำท่าของพระศิวะมาประยุกต์ดัดแปลง เช่นเดียวกับท่าร่ายรำระบำฟ้อนของอีกหลายๆ ประเทศ ได้ยอมรับกันทั่วไปว่ามีต้นแบบมาจากนาฏลีลาของพระศิวะเป็นส่วนมาก ผู้ที่เป็นศิลปินในแขนงการเต้นรำหรือฟ้อนร มักนิยมบูชาขอพรจากพระศิวะ ให้เกิดความรุ่งเรือง
โอม ศรี มหาเทพ ประสิทธิเมฯ



โอม ศรี มหาเทพ ประสิทธิเมฯ



โอม ศรี มหาเทพ ประสิทธิเมฯ







โอม นะมัส ศิวา ยะฯ





ข้าแต่องค์เสด็จพ่อศิวะ มหาเทพ ศักติเทวา ผู้ยิ่งใหญ่




พระศิวะ(Shiva: Mahesh)พระอิศวร ราชาแห่งทวยเทพ


พระศิวะ(Shiva: Mahesh:शिव) พระอิศวรราชาแห่งทวยเทพ และเหล่ามุนีทั้งปวง ตำนานกำเนิดพระศิวะ พระศิวะเกิดจากพระเวทพระธรรมเนรมิตขึ้นมา พระศิวะหรือพระอิศวร จึงมีฤทธิ์อำนาจสูงสุด มีมหากรุณายิ่งกว่าเทพทั้งหลาย เป็นเจ้าแห่งพร ๑๐๘ ประการ

พระศิวะ (คนไทยเรียกว่า พระอิศวร) เป็นบิดาของ พระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อุมาเทวี พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล หนึ่งใน ตรีมูรติ หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ)พระองค์ทรงประทานพรวิเศษให้แก่ผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์ก็จะประทานพรนั้นๆให้ แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงาม ผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพจะเป็นผู้ทำลายทันที!!


มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้น สามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์นัก!! หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วยถ้ากระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน
พระองค์เป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ด้วยเช่นกัน

พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ และอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุข หากบวงสรวงบชาพระศิวะ...


นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไป จากบทบาทของการเป็นมหาเทพ ผู้ทรงมีพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวลมนุึ์ษย์นั้น พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วยพระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง พระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าเป็นทั้งชาย เป็นทั้งหญิง เป็นทั้งผู้ใจดี เป็นทั้งผู้ดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลี ไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด


ใน คัมภีร์อุปนิษัท ของฮินดู การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า "ศิโวมฺสวหะ" (ข้าคือศิวะ) หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุกๆคน ควรพิจารณาถึงตัวเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งสิ้น เมื่อคิดระลึกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุขความสงบ



กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้

ยุคพระเวทเรื่องก็มีอยู่ว่า พระพรหม นั้น เกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนัก ที่พระเสโทหรือเหงื่อผุดซึมทั่วพระวรกาย และยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่น เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้น ก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูดๆ ที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์ จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมา และหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง

ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิง ก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์ เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานนามให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานให้ถึง 8 นามด้วยกันดังนี้

ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ

หลังจากนั้น เทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ ในนามของ พระรุทร อันเป็นชื่อ หนึ่งใน 8 นาม ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ สำหรับนามอื่นๆ อีก 7 นามนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก

ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้ เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจัง โดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้พระพรหมสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่

ยุคมหากาพย์ มหาภารตะในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของ พระพรหม จึงเท่ากับว่า พระศิวะ ก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของ พระพรหมยุคไตรเภทคัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจาก พระนางสุรภี และพระบิดาก็คือ พระกัศยปะเทพบิดร

คัมภีร์พรหมมานัสพระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจาก พระประชาบดี มิได้เกิดจากพระโลหิตของ พระพรหม ดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา

พระรุทร หรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น จึงได้ทูลตอบว่า เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อ ให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า พระรุทรซึ่งหมายถึงการร้องไห้ และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง

ในคัมภีร์โบราณ ที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณ ได้อธิบายถึงประวัติการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่า เมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น ได้มี คัมภีร์พระเวทและพระธรรม บังเกิดขึ้น และเมื่อพระเวทกับพระธรรมมาประชุมรวมกัน จึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ พระปรเมศวร

ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง หลังจากการทำลายล้างโลก โดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด

รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีปรากฏมากมายหลายลักษณะด้วยกัน แต่จุดเด่นที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะก็คือ รูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาดวงที่ 3 บนหน้าผาก สร้อยประคำที่เป็นหัวกะโหลก และงูที่คล้องพระสอหรือคอของพระองค์อยู่นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย

เล่ากันว่า ที่มาของงูพิษที่พระศิวะทรงคล้องคอไว้ประดับองค์ เป็นเอกลักษณ์พิเศษนั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะพระองค์ไม่ได้ไปจับมาจากพงหญ้าป่าใหญ่ที่ไหน แต่มีผู้ส่งมามาให้พระองค์โดยเฉพาะ คนผู้นั้นก็คือนักบวช นักบวชผู้นี้มีภรรยาหลายคน แต่บรรดาภรรยาของเขาเกิดมาหลงใหลในเสน่ห์อันล้ำลึกขององค์พระศิวะ

ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นักบวชจึงส่งเสือร้ายตัวโตไปจัดการสังหารพระศิวะ แต่ว่าพระศิวะกลับเป็นฝ่ายพิชิตเสือ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสบายๆ แถมยังฉีกเอาหนังสือมาเป็นที่ปูพื้นไว้รองนั่งอีกด้วย

เมื่อส่งเสือมาไม่ได้ผล นักบวชผู้เคียดแค้นแสนริษยา ก็ส่งอสรพิษร้ายตัวใหญ่มาจัดการพระศิวะ แต่อสรพิษร้ายกับถูกพระศิวะร่ายเวทมนต์สยบเอาไว้ได้โดยที แล้วพระองค์ก็จับเอางูพิษนั้นมาคล้องคอ เป็นเครื่องประดับสุดพิสดารไม่ซ้ำใคร

นักบวชผู้ไม่ยอมแพ้ยังคงคิดลองของ ส่งอสูรร้ายมาสังหารพระศิวะในเวลาต่อมา และพระศิวะก็ทรงสยบอสูรร้ายตนนั้นได้ด้วยท่าทีลีลาร่ายรำอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งสะท้านสวรรค์สะเทือนเดิน แม้แต่บรรดาทวยเทพทั้งปวง ก็พากันมาเคารพนบนอบยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมหาเทพองค์นี้

มหาเทพองค์อื่นๆนั้น ก็ล้วนแล้วแต่รูปลักษณ์มากมายหลายรูปที่แตกต่างกันไป แต่ในรูปที่แตกต่างนั้นก็จะมีส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกันบ้าง ในรายละเอียดของสีพระวรกายหรือสิ่งของที่ทรงถือไว้ในพระหัตถ์

แต่สำหรับพระศิวะนั้น กล่าวได้ว่า รูปลักษณ์ของพระองค์ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สามารถสังเกตได้ง่าย ไม่สบสนเหมือนกับจดจำรูปลักษณ์ของมหาเทพองค์อื่นๆพระศิวะ นั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีล ดังนั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องแบบที่ค่อนข้างติดดิน เป็นต้น

ว่า ทรงแต่งองค์คล้ายๆ พวกโยคะหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วม่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ ทรงนุ่งห่มด้วยหนังกวางบ้าง หนังเสือบ้าง

คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป บางคัมภีร์ระบุว่า พระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟหรือโลหิต

บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร์

แต่หลายๆคัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร 3 ดวง ดวงที่ 3 นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าผากขององค์โดยปรากฏเป็นดวงตารูปแนวนอนบ้าง รูปตั้งทรงพุ่มช้างบิณฑ์บ้าง และดวงตาที่3 นี้สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้อีกด้วย รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละปาง

ปางต่างๆของพระศิวะ

ปางจักราธนมูรติ (วิษณุวาณุครหมูรติ)อันเนื่องจาก พระวิษณุเทพ ได้ทำสงครามกับอสูรบนสวรรค์ และเกิดความเพลี่ยงพล้ำไม่อาจชนะฝ่ายอสูรได้ จึงได้ทำพิธีบูชาพระศิวะเทพขึ้น ซึ่งได้บูชาด้วยดอกบัววันละ 1,000 ดอกทุกวัน จนวันหนึ่งหาดอกบัวไม่ได้พระวิษณุเทพจึงควักลูกตาของตนเพื่อถวายบูชาแก่องค์ศิวะเทพ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงประทานลูกล้อ หรือ จักรหินสัญลักษณ์ของพระศิวะเทพเพื่อให้เป็นอาวุธของพระวิษณุต่อไป

ปางนนทิศานุครหมูรติสรังคยานะ เกิดมาไม่มีบุตรสืบสกุล จึงไปขอพระเป็นเจ้า วิษณุเทพได้ประทานบุตรมาให้ตน ด้วยพอใจการบวงสรวงบูชาของฤาษี บันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เด็กถือกำเนิดจากสีข้างของพระองค์ ทารกนี้รูปร่างเหมือนพระศิวะ ทรงพระราชทานนาม นนทิเกศวร นนทิเกศวรได้พรจากพระศิวะ ต่อมานนทิได้นำพิธีทรมานร่างกายบน ยอดเขามันธระ เพื่อให้เข้าถึงพระศิวะเจ้า พระศิวะเทพโปรดปรานมาก ทรงปรากฏตัวให้เห็นและรับเอาฤาษีนนทิเป็นหัวหน้ามหาดเล็กรับใช้อยู่ที่เขาไกรลาศ ทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพบุตรนนทิเกศวร ส่วนพระชายาของเทพบุตรพระองค์นี้คือ นางสุยาศุบ้างก็ว่า เทพบุตรพระองค์นี้ตัวเป็นมนุษย์ หัวเป็นโค

ปางกิรทารชุนมูรติ ท้าวอรชุน (ในมหากาพย์ภารตะ) ทำพิธีบูชาพระศิวะเพื่อขอประทานลูกธนูศักดิ์สิทธิ์ให้ตนเพื่อไปยิงอสูร ท้าวอรชุนได้บวงสรวงอยุ่ที่เขาไกรลาศ พระศิวะใช้มายาแปลงเป็นหมูป่าเข้าทำร้ายพราหมณ์หนุ่มและท้าวอรชุน พราหมณ์หนุ่มต้องการยิงหมูป่า อ้างว่าตนเห็นก่อน แต่ท้าวอรชุนไม่ยอม บอกว่าตนต่างหากที่เห็นก่อนจากนั้นทั้งคู่ก็เลยต้องเดิมพันด้วยการต่อสู้กันก่อน ไม่ว่าท้าวอรชุนจะใช้อาวุธใดก็มีอาจทำร้ายพราหมณ์หนุ่มได้ จนเมื่อท้าวอรชุนทรุดตัวลงกราบ พระศิวะพอพระทัยมอบลูกธนูวิเศษให้ไปปราบอสูร

ปางราวันนานูครหมูรติทศกัณฐ์ เจ้าเมืองลงกา หลังจากทำสงครามกับ ท้าวกุเบร ได้เสด็จผ่าน เทือกเขาหิมาลัย เห็นว่ามีทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ ตั้งใจจะเข้าไปชมสถานที่ แต่เจอ นนทิเกศวร หัวหน้ามหาดเล็กของพระศิวะเทพขวางทางไว้ เพราะ เขาไกรลาศ เป็นที่ประทับของพระศิวะเทพและ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) ห้ามผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน ทศกัณฐ์โกรธมาก จึงขู่อาฆาตและสาปแช่งว่า นนทิต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง แต่นนทิเกศวรบอกว่า ทศกัณฐ์ต่างหากที่ต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง ด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุด ทศกัณฐ์เตรียมจะยกเขาไกรลาศขึ้นทุ่ม แค่โยกเขาด้วยอิทธิฤทธิ์เท่านั้น บรรดาเทวดาและมนุษย์ก็เดือดร้อนหนีกันจ้าละหวั่น พระนางปราวตีได้ทูลขอให้พระศิวะให้แก้สถานการณ์ ทรงใช้เท้าเหยียบที่พื้นลงเบาๆ เพื่อให้เขาไกรลาศตั้งดังเดิม และทรงปราบพยศอสูรทศกัณฐ์จนยอมศิโรราบ

ปางกาลารีมูรติฤาษีตนหนึ่ง ได้ทำพิธีบูชาสวดมนต์อ้อนวอนขอลูกกับพระศิวะเทพ พระองค์ทรงโปรดการบูชาจึงประทานลูกให้ แต่บอกว่า เด็กคนนี้จะอายุสั้น ฤาษีและภรรยาได้เลี้ยงดูลูกจนอายุ 16 ปี ลูกชายไปได้บวงสรวงต่อพระศิวะระหว่างที่ชะตาถึงฆาตประจวบเหมาะว่า เป็นช่วงที่เด็กคนนี้กำลังบูชาศิวลึงค์อยู่พอดี พระยม-กาลแห่งความตายได้เดินทางจากเมืองนรกมารับตัวเด็กหนุ่ม พระศิวะเห็นดั่งนั้นทรงพิโรธทรงปรากฏกายออกจากศิวลึงค์เข้าเตะพระยม พระยมสู้ฤทธิ์พระศิวะไม่ได้จึงหนีไปพระศิวะประทานพรให้เด็กหนุ่มมีชีวิตเป็นอมตะ

ปางกานันทกามูรติปางนี้คือปางพระศิวะทำลาย เทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพ) เมื่อ พระนางสตี (ชายาอีกพระองค์หนึ่งของพระศิวะ) เผาร่างตนเองไปนั้น พระศิวะเสียพระทัยมาก และเข้าสู่สมาธิเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในที่สุดเมื่อพระนางมาจุติใหม่ โดยแบ่งภาคมาจากพระแม่ศักติ-ศิวา มาเป็นพระนางปารวตี (พระแม่อุมา) กามเทพต้องทำหน้าที่เพื่อให้พระศิวะเกิดความรัก เพื่อจะได้มีบุตรในการไปปราบอสูรชื่อ ทาราคา ในที่สุดเมื่อทุกอย่างสำเร็จ ทรงมีโอรสขึ้นมาคนหนึ่งชื่อ ขันธกุมาร (หรือ กาติเกยะ หรือ กุมารา หรือ สุภามันยะ อันเป็นพี่น้องแห่งพระพิฆเนศนั่นเอง) เพื่อไปปราบอสูรทาราคาให้สิ้น

ปางอรรธนารีศวร (ครึ่งพระศิวะ ครึ่งพระแม่อุมา)ปางนี้เป็นปางครึ่งหญิงครึ่งชายในรูปลักษณ์ทางประติมกรรมนั้น จะแบ่งซีก ระหว่างพระศิวะกับพระอุมา ปางนี้ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรก ครั้งเดียว ในสมัยการสร้างจักรวาล กล่าวคือ พระพรหมได้รับภารกิจให้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวไม่มีกำลังในการขยายเผ่าพันธุ์ในโลกใด้ ครั้งจะสร้างเพศหญิงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาแบบอย่างมาจากไหน พระพรหมจึงต้องบวงสรวงมหาเทวาธิเทวะ มหาเทวะ ศิวะเทพ เพื่อให้เสด็จมาแก้ปัญหาที่ค้างคาใจอยู่ พระพรหมบวงสรวงจนเป็นที่พอใจก็เลยเสด็จมา นับเป็นครั้งแรกที่มาในปางอรรธนารีศวร เพศหญิงและเพศชายที่รวมกันอยู่ในร่างเดียวกัน ทำให้พระพรหมเข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่นี้ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่